1.3 พันล้าน เปิดมูลค่าความเสียหาย ท่องเที่ยว-เกษตร-ประมง ริมน้ำกก เซ่นสารพิษเหมืองแร่รัฐฉาน ท่องเที่ยวหนักสุด 773 ล้าน

เรื่องและภาพ: วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง

Summary

  • เมื่อแม่น้ำกก หนึ่งในแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของผู้คนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ กำลังเผชิญกับวิกฤติมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ คำถามสำคัญที่ตามมานอกจากผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมคือ กลุ่มคนที่ประกอบอาชีพริมแม่น้ำกกได้รับผลกระทบอย่างไร และความเสียหายที่เกิดขึ้นจะมีมูลค่าเพียงใด
  • จากการสำรวจ พบว่ากลุ่มอาชีพริมแม่น้ำกกประกอบด้วย 3 กลุ่มอาชีพสำคัญ คือ 1. ภาคการท่องเที่ยว 2. ภาคเกษตรกรรม 3. ภาคประมง
  • ข้อมูลจาก สํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) รวมทั้งสิ้น 116,580 ล้านบาท ภาคเกษตรกรรมมีมูลค่า 29,466 ล้านบาท คิดเป็น 25.27% ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวมีมูลค่า 49,420 ล้านบาท คิดเป็น 42.39%
  • เชียงใหม่มี GPP รวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 277,477 ล้านบาท ภาคเกษตรกรรมมีมูลค่า 49,197 ล้านบาท คิดเป็น 17.7% ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวมีมูลค่า 103,822 ล้านบบาท คิดเป็น 37.42%
  • ทั้งนี้เมื่อประเมินมูลค่าความเสียหาย โดยตั้งสมมุติฐานว่าหากแม่น้ำกกเป็นพิษในระดับไม่สามารถดำเนินกิจกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกกได้เลย มูลค่าความเสียหาย ‘ภาคการท่องเที่ยว’ จะมีมูลค่าอยู่ที่ 773,530,143 บาท/ปี 
  • ส่วนมูลค่าความเสียหาย ‘ภาคการเกษตร’ มีมูลค่าอยู่ที่ 511,450,458 บาท/ปี 
  • ในขณะที่มูลค่าความเสียหาย ‘ภาคประมง’ จะมีมูลค่าอยู่ที่ 15,026,130 บาท/ปี 
  • เมื่อนำมูลค่าความเสียหายของทั้งสามภาคส่วนมารวมกัน จึงสามารถประมาณได้ว่า วิกฤติในครั้งนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 1,300,006,731 บาท/ปี

เมื่อ ‘แม่น้ำกก’ หนึ่งในแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของผู้คนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ กำลังเผชิญกับวิกฤติมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ภาพของแม่น้ำสายสำคัญที่เคยอุดมสมบูรณ์ กลับถูกแทนที่ด้วยความคลางแคลงใจเกี่ยวกับคุณภาพน้ำและความปลอดภัยในการใช้ประโยชน์ คำถามสำคัญจึงไม่ได้มีเพียงเรื่องของสิ่งแวดล้อมเพียงเท่านั้น หากแต่ยังขยายลึกไปถึงโครงสร้างเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นที่พึ่งพิงแม่น้ำสายนี้อีกด้วย

จากปัญหาดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากวิกฤตการปนเปื้อนสารพิษในแม่น้ำกก ผ่านการตั้งสมมติฐานว่าหากวิกฤตในครั้งนี้อยู่ในระดับที่ ‘เลวร้ายที่สุด’ มูลค่าความเสียหายต่อปีจะคิดเป็นเม็ดเงินจำนวนเท่าไร ซึ่งการประเมินนี้อ้างอิงข้อมูลจากหน่วยงานรัฐเป็นหลัก ควบคู่ไปกับสอบถามผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การประเมินครั้งนี้ยังคงเป็นการคำนวณ ‘เบื้องต้น’ ที่อาศัยข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งในความเป็นจริงมูลค่าความเสียหายอาจมีจำนวนที่สูงกว่านี้

จากการสำรวจพบว่า กลุ่มอาชีพที่พึ่งพาแม่น้ำกกสามารถแบ่งออกได้เป็นสามกลุ่มหลัก ได้แก่ 1.ภาคการท่องเที่ยว 2.ภาคการเกษตร และ 3.ภาคประมง หากจัดลำดับตามมูลค่าความเสียหาย สามารถเรียงได้ดังนี้

1. ภาคการท่องเที่ยว

แม่น้ำกกถือเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะบริเวณริมสองฝั่งแม่น้ำที่เต็มไปด้วยกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม ทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจท้องถิ่น กลุ่มคนที่ประกอบอาชีพในภาคการท่องเที่ยวในพื้นที่จึงมีบทบาทอย่างสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของจังหวัด และหากสถานการณ์ในตอนนี้ทวีความรุนแรงขึ้นจนทำให้แม่น้ำกกไม่สามารถใช้งานเพื่อกิจกรรมการท่องเที่ยวได้อีก วิกฤตในครั้งนี้จะส่งผลโดยตรงต่อคนในกลุ่มอาชีพนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จากการสำรวจ พบว่าสามารถแบ่งผู้ประกอบอาชีพในภาคการท่องเที่ยวได้เพิ่มอีกเป็น 2 กลุ่มประเภท ประกอบด้วย 1. กลุ่มธุรกิจประเภทที่พัก โรงแรม และรีสอร์ท 2. กลุ่มธุรกิจประเภทการท่องเที่ยวริมน้ำ เช่น เรือท่องเที่ยว แพเปียก และการขี่ช้างท่องเที่ยว

กลุ่มธุรกิจประเภทที่พัก โรงแรม และรีสอร์ท

ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาการท่องเที่ยว: Center of Tourism Research and Development ระบุว่ามูลค่าการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายในปี 2567 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 49,420,040,000 บาท คิดเป็น 42.39% ของ GPP จังหวัดเชียงราย ขณะเดียวกันจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทั้งไทยและต่างชาติ ในปี 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 6,193,932 คน 

ส่วนเชียงใหม่มีมูลค่าการท่องเที่ยวในปี 67 ทั้งสิ้น 103,822,380,000 บาท คิดเป็น 37.42% ของ GPP จังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2567 มีนักท่องเที่ยว 11,485,568 คน

ในกลุ่มประเภทที่พัก โรงแรม และรีสอร์ท ข้อมูลจากกรมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย และสำนักงานจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่าทั้งสองจังหวัดมีที่พักทั้งหมดจำนวนรวม 1,674 แห่ง (เชียงราย 664 แห่ง, เชียงใหม่ 1,010 แห่ง)  จากการเก็บข้อมูลผ่าน Google Maps ของ Lanner พบว่าที่พักริมแม่น้ำกก ในระยะ 3 กิโลเมตรจากริมแม่น้ำกก ตลอดระยะทางที่แม่น้ำไหลผ่านใน 20 ตำบล มีจำนวนทั้งสิ้น 122 แห่ง โดยแบ่งเป็น เชียงราย 109 แห่ง คิดเป็น 16.42% ของที่พักทั้งจังหวัด และเชียงใหม่ 13 แห่ง คิดเป็น 1.29% ของที่พักทั้งจังหวัด โดยเงื่อนไขในการเก็บข้อมูลที่พักริมแม่น้ำกกจะต้องมีองค์ประกอบครบตามเกณฑ์ 3 ข้อ ดังนี้

1. ต้องอยู่ในระยะ 3 กม.จากริมแม่น้ำกก

2. ต้องอยู่ใน 20 ตำบลที่แม่น้ำกกไหลผ่าน

3. ต้องมีรีวิวใน Google Maps ในระยะ 6 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค. – มิ.ย. 68)

ในขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานว่า สัดส่วนค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่เป็นค่าที่พัก จะคิดเป็น 34.95% (เฉลี่ยข้อมูลทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ) จากค่าใช้จ่ายทั้งหมด ในการหาสัดส่วนค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในด้านที่พัก ใช้ข้อมูลนักท่องเที่ยวต่างชาติจากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยจากรายงานในปี 2566 ระบุว่านักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายในด้านที่พักคิดเป็น 36% จากค่าใช้จ่ายทั้งหมด ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทย จากข้อมูลของ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่า ในปี 2561 นักท่องเที่ยวไทยใช้จ่ายในด้านที่พักคิดเป็น 33.9% จากค่าใช้จ่ายทั้งหมด เมื่อนำข้อมูลทั้งสองชุดมาหารค่าเฉลี่ยเพื่อใช้ในการคำนวณว่านักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติใช้จ่ายในด้านที่พีักเป็นสัดส่วนเท่าไร จะได้เป็น 34.95%  

และหากนำตัวเลข มูลค่าการท่องเที่ยวจังหวัด, เปอร์เซ็นต์ค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่เป็นค่าที่พัก และเปอร์เซ็นต์ที่พักริมแม่น้ำกก มาพิจารณาร่วมกัน มูลค่าการท่องเที่ยวที่เป็นค่าที่พักในเชียงรายจะมีมูลค่า 17,272,303,980 บาท/ปี ส่วนของ ‘แม่น้ำกกในเชียงราย’ มีจำนวนทั้งสิ้น 2,835,363,153 บาท/ปี สำหรับเชียงใหม่ทั้งจังหวัดอยู่ที่ 36,285,921,810 บาท/ปี และส่วนของ ‘แม่น้ำกกในเชียงใหม่’ มีจำนวนทั้งสิ้น 467,046,518 บาท/ปี

อย่างไรก็ดี หากคำนวณตามวิธีดังกล่าวไม่สามารถกล่าวอ้างได้ว่าจำนวนเม็ดเงิน 3 พันกว่าล้านของทั้งสองจังหวัด เป็นมูลค่าที่พักที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกกโดยตรง เนื่องจากนักท่องเที่ยวทุกคนไม่ได้ตั้งใจจะมาเที่ยวแม่น้ำกกเสมอไป ดังนั้น ตัวเลขดังกล่าวจึงต้องนำไปคำนวณร่วมกับสัดส่วน ความสัมพันธ์ของนักท่องเที่ยวกับแม่น้ำกก โดยคำนวณจากการรวบรวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ำกก

จากการรวบรวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแม่น้ำกก พบว่ามีทั้งสิ้น 13 แห่ง (เชียงราย 13 แห่ง, เชียงใหม่ 0 แห่ง) การเก็บข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อระบุว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ำกก จะต้องมีองค์ประกอบครบตามเกณฑ์ทั้งหมด 5 ข้อด้วยกัน ประกอบด้วย 

1.ต้องอยู่ในระยะ 5 กม. จากแม่น้ำกก

2.ต้องอยู่ใน 20 ตำบลริมแม่น้ำกก

3.ต้องมีรีวิวใน Google Maps เกิน 1,000 คนขึ้นไปถึงจะนับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ (หลีกเลี่ยงการคำนวณร่วมกับแหล่งท่องเที่ยวขนาดเล็ก เช่น คาเฟ่, แหล่งท่องเที่ยวชุมชนขนาดเล็ก)

4.ต้องเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกก (หลีกเลี่ยงการคำนวณแหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกกซ้ำ Double Count)

5.ต้องไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่มีสองหมุด ใน Google Maps

(K/T) x 100 = % ความสัมพันธ์ของนทท.กับแม่น้ำกก

N = แม่น้ำกก (1 แห่ง) T = จำนวนแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมด (รวมแม่น้ำกก) 14 แห่ง

(1/14) x 100 = 7.14%

ดังนั้น จึงสามารถอนุมานได้ว่าความสัมพันธ์ของนักท่องเที่ยวกับแม่น้ำกก ‘เชียงราย’ คิดเป็น 7.14% จากแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมด และเมื่อนำมาคำนวณร่วมกับมูลค่าธุรกิจที่พักริมแม่น้ำกกในเชียงรายแล้ว มูลค่าการท่องเที่ยวที่เกี่ยวของกับธุรกิจที่พักในริมแม่น้ำกกโดยตรงในจังหวัดเชียงรายจะมีมูลค่าทั้งสิ้นอยู่ที่ 202,444,929 บาท/ปี

ในขณะที่ ‘เชียงใหม่’ มีเปอร์เซ็นต์ความสัมพันธ์ของนักท่องเที่ยวกับแม่น้ำกกอยู่ที่ 100% เนื่องจากไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญใดๆ ในระยะ 5 กม. ที่ไม่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกก หรืออีกนัยนึงสามารถอนุมานได้ว่า ‘นักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในระยะ 3 กม. จากแม่น้ำกก จะไปเที่ยวแม่น้ำกกเสมอ’ ดั้งนั้น มูลค่าการท่องเที่ยวที่เกี่ยวของกับธุรกิจที่พักในริมแม่น้ำกกโดยตรงในจังหวัดเชียงใหม่จะมีมูลค่าทั้งสิ้นอยู่ที่ 467,046,518 บาท/ปี

(T x A) x H x R = มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ (ในธุรกิจที่พัก) แม่น้ำกก

T = มูลค่าการท่องเที่ยวจังหวัด  A = % ของค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าที่พัก
H = % ของจำนวนที่พักริมแม่น้ำกก R = % ความสัมพันธ์ของนักท่องเที่ยวกับแม่น้ำกก

เชียงราย: (49,420,040,000 x 34.95%) x 16.42% x 7.14% = 202,444,929 บาท/ปี

เชียงใหม่: (103,822,380,000 x 34.95%) x 1.29% x 100% = 467,046,518 บาท/ปี

เมื่อนำข้อมูลทั้งของสองจังหวัดมารวมกัน มูลค่าความเสียหายในธุรกิจที่พักริมแม่น้ำกกจะมีมูลค่าสูงถึง 669,491,447 บาท/ปี

กลุ่มธุรกิจประเภทการท่องเที่ยวริมน้ำ

ส่วนกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวริมน้ำ จะประกอบด้วย ธุรกิจประเภท เรือท่องเที่ยว, แพเปียก, ขี่ช้างเที่ยว จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า ธุรกิจประเภทเรือท่องเที่ยวมีเรือหางยาวที่ใช้รับส่งนักท่องเที่ยวทั้งหมด 30 ลำด้วยกัน (ท่าเรือซีอาร์ เชียงราย) ซึ่งมีหลากหลายราคาให้บริการ แต่เส้นทางที่ถูกใช้บริการมากสุดคือ เชียงราย – บ้านรวมมิตร ค่าบริการอยู่ที่ 700 บาท/3 ชม. ธุรกิจประเภทแพเปียกพบว่ามีทั้งหมด 4 เจ้า (กำหนดให้มีแพทั้งหมด 10 ลำต่อเจ้า) ค่าบริการเฉลี่ยจะอยู่ที่เจ้าละ 900 บาท/1 ชม. และธุรกิจประเภทขี่ช้างท่องเที่ยวพบว่ามีเพียงเจ้าเดียว คือ บ้านปางกระเหรี่ยงรวมมิตร ซึ่งมีช้างทั้งหมด 9 เชือก อัตราค่าบริการอยู่ที่ 300 บาท/30 นาที

หากนำทั้งหมดมาคำนวณหารายได้ต่อวันจะพบว่า

– ธุรกิจประเภทเรือท่องเที่ยว (เรือ 30 ลำ เวลาเปิดทำการ 7 ชม.) สามารถให้บริการได้ วันละ 68.6 รอบ คิดเป็นมูลค่า 47,992 บาท/วัน 

-ธุรกิจประเภทแพเปียก 4 เจ้า (แพ 40 ลำ เวลาเปิดทำการ 8 ชม.) สามารถให้บริการได้วันละ 280 รอบ คิดเป็นมูลค่า 252,000 บาท/วัน

– ธุรกิจประเภทขี่ช้างท่องเที่ยว (ช้าง 9 เชือก เวลาเปิดทำการ 6 ชม.) สามารถให้บริการได้วันละ 108 รอบ คิดเป็นมูลค่า 32,400 บาท/วัน 

ทั้งนี้หากมาคำนวณหารายได้ต่อปี โดยกำหนดให้มีวันหยุดอาทิตย์ละ 1 วันจะพบว่า

(I x O) = มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ (ในธุรกิจการท่องเที่ยวริมน้ำ) แม่น้ำกก

I = รายได้ต่อวันของ 3 ประเภทธุรกิจ O = จำนวนวันเปิดทำการ (313 วัน)

– ธุรกิจประเภทเรือท่องเที่ยว 30 ลำ มีมูลค่ารายได้อยู่ที่ 15,021,496 บาท/ปี

– ธุรกิจประเภทแพเปียก 4 เจ้า มีมูลค่ารายได้อยู่ที่ 78,876,000 บาท/ปี

– ธุรกิจประเภทขี่ช้างท่องเที่ยว 9 เชือก มีมูลค่ารายได้อยู่ที่ 10,141,200 บาท/ปี

และเมื่อนำมูลค่ารายได้ของแต่ละประเภทธุรกิจในกลุ่มธุรกิจภาคท่องเที่ยวริมน้ำมารวมกัน จะพบว่า ธุรกิจภาคการท่องเที่ยวริมน้ำมีมูลค่าต่อปีอยู่ที่ 104,038,696 บาท/ปี

773 ล้านบาทต่อปี มูลค่าความเสียหาย ‘ภาคการท่องเที่ยว’ ริมแม่น้ำกก

เมื่อนำข้อมูลจากทั้งสองกลุ่มอาชีพมารวมกัน (กลุ่มธุรกิจที่พัก โรงแรม รีสอร์ท และ กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวริมน้ำ) โดยตั้งข้อสันนิฐานว่า หากแม่น้ำกกเป็นพิษในระดับไม่สามารถดำเนินกิจกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกกได้เลย เป็นระยะเวลา 1 ปี มูลค่าความเสียหายจะมากถึง 773,530,143 บาท/ปี 

2. ภาคการเกษตร

ภาคที่รับผลกระทบรองลงมาคือ ‘ภาคการเกษตร’ โดยข้อมูลจาก สํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) รวมทั้งสิ้น 116,580 ล้านบาท โดยภาคเกษตรกรรมมีมูลค่าราว 29,466 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25.27% ของเศรษฐกิจทั้งจังหวัด ทั้งนี้มีแรงงานในภาคเกษตรจำนวน 402,033 คน และพืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์  ส่วนพื้นที่เกษตรกรรมทั้งจังหวัดเชียงราย ข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดินกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่ามีทั้งหมด 3,735,647 ไร่ คิดเป็น 51.17% จากพื้นที่ทั้งจังหวัด 7,298,981 ไร่ 

ในขณะที่เชียงใหม่ในปี 2567 มี GPP รวมทั้งสิ้น 277,477 ล้านบาท ภาคเกษตกรรมมีมูลค่า 49,198 ล้านบาท คิดเป็น 17.7% ของ GPP ทั้งนี้มีแรงงานในภาคเกษตรจำนวน 77,584 คน และพืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เช่นเดียวกันกับเชียงราย ส่วนพื้นที่เกษตรกรรมมีทั้งหมด 3,449,428 ไร่ คิดเป็น 24.60% จากพื้นที่ทั้งจังหวัด 14,022,546 ไร่ 

อย่างไรก็ดี ข้อมูลพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำกก ยังไม่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ โดยข้อมูลอย่างเป็นทางการมีเพียงข้อมูลพื้นที่เกษตรกรรมในระดับอำเภอของทั้งสองจังหวัด จากกรมพัฒนาที่ดินจังหวัดเชียงราย และ สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงใหม่ ทั้งนี้เพื่อที่จะหาจำนวนพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำกกได้ จะต้องอาศัยการเทียบข้อมูล โดย 

1. ระบุพื้นที่ที่แม่น้ำกกไหลผ่านในระดับอำเภอ (โดยการใช้ Google Earth)

2. หาสัดส่วนเปอร์เซ็นต์พื้นที่เกษตรกรรมในอำเภอต่างๆ 

3. นำเปอร์เซ็นต์พื้นที่เกษตรกรรมในระดับอำเภอมาคำนวณหาพื้นที่เกษตกรรมของตำบลต่างๆ

4. คำนวณหาพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำกก จากพื้นที่ Risk Zone ของแต่ละตำบล 

5. เมื่อคำนวณหาพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำกกได้แล้ว จึงนำมาประเมินหามูลค่าความเสียหายเชิงเศรษฐกิจในภาคเกษตรกรรม

ข้อมูลพื้นที่เกษตกรรม, กรมพัฒนาที่ดินจังหวัดเชียงราย และ สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงใหม่, คำนวณโดย Lanner

พื้นที่เกษตรกรรมระดับอำเภอ

จากการรวบรวมข้อมูล อำเภอที่แม่น้ำกกไหลผ่าน มีทั้งหมด 8 อำเภอ ใน 2 จังหวัด (เชียงใหม่และเชียงราย) มีจำนวนพื้นที่เกษตรกรรมทั้งสิ้น 686,509 ไร่ จากทั้งหมด 2,986,532 ไร่ คิดเป็น 22.99% ของพื้นที่ทั้งหมดใน 8 อำเภอ หากแยกออกมาเป็นรายอำเภอ สามารถแยกได้ดังนี้ 

เชียงใหม่ 

– อ.แม่อาย (พื้นที่เกษตรกรรม 93,758 ไร่ คิดเป็น 18.05% ของพื้นที่ทั้งหมดในอำเภอ) 

เชียงราย 

– อ.แม่จัน (129,786 ไร่ คิดเป็น 26.25%) 

– อ.แม่ฟ้าหลวง (7,974 ไร่ คิดเป็น 1.99%)

– อ.เมืองเชียงราย (182,478 ไร่ คิดเป็น 24.01%)

– อ.เวียงชัย (87,532 ไร่ คิดเป็น 54.12%)

– อ.เวียงเชียงรุ้ง (63,875 ไร่ คิดเป็น 38.81%)

– อ.ดอยหลวง (38,959 ไร่ คิดเป็น 27.95%)

– อ.เชียงแสน (82,147 ไร่ คิดเป็น 23.72%)

พื้นที่เกษตรกรรมระดับตำบลและพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำกก

ในขณะเดียวกันจาก 8 อำเภอ พบว่าแม่น้ำกกไหลผ่านทั้งหมด 19 ตำบล (ไม่นับรวมเทศบาลนครเชียงรายเนื่องจากพื้นที่ทับซ้อนหลายตำบล) มีพื้นที่เกษตรกรรมรวม 303,590 ไร่ จากทั้งหมด 1,309,942 ไร่ คิดเป็น 23.18% ของพื้นที่ในตำบลทั้งหมด หากแยกออกมาเป็นรายตำบล ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่อยู่ริมแม่น้ำกกในระยะ Risk Zone 3 กม. สามารถคำนวณพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำกกได้ดังนี้

ตำบลพื้นที่ทั้งหมด(ไร่)พื้นที่เกษตรกรรมในตำบล(คำนวณจากเปอร์เซ็นต์สัดส่วนพื้นที่เกษตรกรระดับอำเภอ)ระยะทางแม่น้ำ(กม.)พื้นที่ความเสี่ยง(Risk Zone)(ตารางกิโลเมตร)พื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำกก(ไร่)
ท่าตอน110,90620,02321.2563.757,194
แม่นาวาง115,39020,83311.7235.163,967
มะลิกา18,7503,3859.0127.033,050
ท่าข้าวเปลือก66,72517,51828.6585.9514,103
แม่สลองนอก72,0451,43313.339.9496
แม่ยาว166,06039,86927.7983.3712,510
ห้วยชมภู161,87538,86427.0181.0312,159
ดอยฮาง56,87513,65519.658.88,823
รอบเวียง13,1253,15114.7544.253,151
เทศบาลนครเชียงราย38,031ไม่คำนวณ เนื่องจากพื้นที่ทับซ้อนหลายตำบล
ริมกก26,8436,44534.01102.036,445
แม่ข้าวต้ม63,75015,30616.649.87,473
เวียงเหนือ28,75015,56013.640.813,801
ทุ่งก่อ64,04324,8550.411.23298
ดงมหาวัน43,00616,69120.7762.3115,114
ปงน้อย45,62512,75314.1142.337,395
หนองป่าก่อ35,3619,88420.5661.689,884
โยนก18,1944,3165.4116.232,407
บ้านแซว130,62530,9902.918.731,294
เวียง33,9638,0584.5913.772,042
รวม1,309,942303,590918131,607

ทั้งนี้ เมื่อคำนวณออกมาแล้วจะพบว่า พื้นที่เกษตกรรมริมแม่น้ำกกมีจำนวนทั้งหมด 131,607 ไร่ ทั้งสองฝั่งตลอดระยะทางแม่น้ำทั้งสาย คิดเป็น 10.04% ของพื้นที่ที่แม่น้ำกกไหลผ่านทั้งหมด 19 ตำบล

และเมื่อได้ข้อมูลพื้นที่เกษตรกรรมแล้ว จึงนำไปคำนวณหามูลค่าความเสียหาย โดยคำนวณเฉพาะพืชเกษตรหลัก 2 ชนิด คือ 1.ข้าว (นาปรังและนาปี) 2.ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เนื่องจากเป็นพืช 2 ชนิดหลักที่นิยมปลูกใน 19 ตำบลริมแม่น้ำกก

อย่างไรก็ดี เมื่อสำรวจข้อมูลพืชผลทางเกษตรโดยนับเฉพาะ ข้าว และ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้อมูลจาก สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย ได้คาดการณ์ราคาผลผลิตของพืชทั้งสองชนิดในปี 68 ว่า ข้าวมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 8 บาท/กก. ทั้งนี้ราคาจะขึ้นหรือลงอยู่กับจำนวนปริมาณผลผลิตในแต่ละเดือนว่ามีมากน้อยเท่าไหร่ ในขณะที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ยอยู่ที่ 7.4 บาท/กก.

ข้าว (นาปรังและนาปี)

ข้าวนาปี มีผลผลิต 542 กก./ไร่ มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 8 บาท/กก. สามารถประมาณได้ว่าไร่นึงจะมีมูลค่าเท่ากับ 4,336 บาท

ข้าวนาปรัง มีผลผลิต 627 กก./ไร่ มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 7.4 บาท/กก. สามารถประมาณได้ว่าไร่นึงจะมีมูลค่าเท่ากับ 4,655 บาท

ทั้งนี้หากรวมข้อมูลข้าว (ทั้งนาปรังและนาปี) จะพบว่า ข้าวมีผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 585 กก./ไร่ ราคาข้าวของจังหวัดเชียงรายในปี 2568 มีมูลค่าประมาณอยู่ที่ 4,496 บาท

ข้อมูลคาดการณ์ราคาข้าวปี 2568 (ทั้งจังหวัดเชียงราย)
ประเภทผลผลิตต่อไร่(กก./ไร่)เดือนผลผลิต(ตัน)ราคาขาย(บาท/กก.)ราคาขาย(บาท/ตัน)ราคาต่อไร่(บาท/ไร่)
ข้าวนาปี542กันยายน64,1858.08,0004,336
ตุลาคม128,3708.28,2004,444
พฤศจิกายน1,026,9607.57,5004,065
ธันวาคม64,1858.38,3004,499
ราคาเฉลี่ยรอบฤดู 688.08,0004,336
ข้าวนาปรัง627มีนาคม11,4407.07,0004,389
เมษายน45,7627.27,2004,514
พฤษภาคม160,1698.08,0005,016
มิถุนายน11,4407.57,5004,703
ราคาเฉลี่ยรอบฤดู 687.47,4254,655
ราคาเฉลี่ยข้าว (นาปรัง/นาปี)7,7134,496

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

  • สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในปี 2568 พบว่า ผลผลิตต่อไร่อยู่ที่ 365 กก./ไร่ มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4.4 บาท สามารถประมาณได้ว่าไร่นึงจะมีมูลค่าต่อไร่เท่ากับ 1,597 บาท

511 ล้านต่อปี มูลค่าความเสียหาย ‘ภาคการเกษตร‘ ริมแม่น้ำกก

จากการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด พบว่า พื้นที่เกษตกรรมริมแม่น้ำกกมีทั้งสิ้น 131,607 ไร่ (แบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวทั้งนาปรังและนาปี 103,924 ไร่ คิดเป็น 78.97% ของพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำกก และ พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 27,682 ไร่ คิดเป็น 21.03% ของพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำกก)

ราคาขายข้าวรอบฤดูปี 2568 ของจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ไร่ละ 4,496 บาท ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อยู่ที่ไร่ละ 1,597 บาท

(Rf x Rp) + (Cf x Cp) = มูลค่าความเสียหายภาคเกษตรกรรม

Rf = จำนวนพื้นที่ปลูกข้าว (ไร่) Rp = ราคาขายข้าวเฉลี่ยต่อไร่ปี 68 (บาท/ไร่)
Cf = จำนวนพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ไร่) Cp = ราคาขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เฉลี่ยต่อไร่ปี 68 (บาท/ไร่)

(114,384 x 4,496) + (30,468 x 1,597)  = 562,927,860 บาท

หากนำข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาร่วมกัน และตั้งสมุติฐานว่าหากสถานการณ์แม่น้ำกกวิกฤตถึงขั้นไม่สามารถใช้น้ำในการประกอบเกษตรกรรมได้ เกษตรกรจำเป็นต้องหยุดการปลูกพืชไป 1 ปี จะส่งผลกระทบมากถึง 562,927,860 บาท/ปี 

3. ภาคประมง

ส่วนกลุ่มที่รับผลกระทบลำดับสุดท้าย คือกลุ่มภาคประมง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตแม่น้ำกกโดยตรง อย่างไรก็ดี ข้อมูล ทบ.3 (ทะเบียนผู้ทำการประมง) จากกรมประมงจังหวัดเชียงราย ระบุว่าทั้งจังหวัด มีจำนวนประมงน้ำจืดอยู่ที่ 123 คน หากนับเฉพาะว่าเป็นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกก จะเหลือเพียง 70 คน ในขณะที่กรมประมงจังหวัดเชียงใหม่ ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูล ทบ.3 แต่อย่างใด

ทั้งนี้ชุดข้อมูลดังกล่าวเป็นชุดข้อมูลเก่าจากปี 2564 ในปัจจุบันยังไม่ได้มีการอัพเดตจากกรมประมงจังหวัด Lanner จึงได้สอบถามไปยัง คุณพิศณุกรณ์ ดีแก้ว นักข่าวพลเมือง สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต จากบทสัมภาษณ์ พิศณุกรณ์ ได้ระบุว่าในปัจจุบันมีจำนวนชาวประมงน้ำจืดจำนวน 105 คน โดยส่วนมากอาศัยอยู่ในอำเภอเชียงแสน หากแยกออกมาตามรายตำบล สามารถแยกได้ดังนี้

จำนวนประมงน้ำจืด
จังหวัดอำเภอตำบลพื้นที่จำนวนชาวประมง (คน)
เชียงรายเชียงแสนเวียงห้วยเกี๋ยง (สบรวก)30
บ้านสบคำ25
เชียงแสนน้อย10
บ้านแซวบ้านสบกก20
เมืองเชียงรายเทศบาลนครเชียงรายในตัวเมือง20
รวม105

นอกจากนี้ยังได้กล่าวว่า ส่วนใหญ่แล้วชาวประมงมักจะนิยมจับปลาในช่วงฤดูปลาขึ้น ซึ่งคือในช่วงเดือน มิถุนายน – กันยายน ของทุกปี ในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวประมงจะนิยมจับปลามาเพื่อขายเป็นหลัก แต่เมื่อหมดฤดูแล้ว จะนิยมจับปลาเป็นงานอดิเรก และเพื่อประกอบอาหาร

โดยปกติแล้วในช่วงฤดูปลาขึ้น ชาวประมงจะจับปลาเฉลี่ยแล้วอาทิตย์ละ 3 วัน (ในบางรายจับปลาทุกวัน) ซึ่งจะออกจับปลาวันละ 2 รอบ (รอบเช้า ตี 5 – 9 โมงเช้า, รอบเย็น 4 โมง – 6 โมงเย็น เฉลี่ยวันละ 6 ชั่วโมง) ส่วนจำนวนปลาที่จับได้ขึ้นอยู่ว่าแต่ละคนมีความสามารถในการจับปลาได้เท่าไหร่ และความถี่ในการออกจับปลาเท่าไหร่ อย่างไรก็ดี เบื้องต้นในช่วงฤดูปลาขึ้นชาวประมงจะจับได้ตั้งแต่ 3 – 20 กก./วัน ทั้งนี้เมื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 11.5 กก./วัน

ในขณะที่ปลา 5 ชนิดหลักที่จับได้ในแม่น้ำกก จะประกอบด้วย 1.ปลาแค้ 2.ปลาค้าว 3.ปลากาดำ 4.ปลากด 5.ปลาโจก ส่วนราคาปลาแต่ละชนิดสามารถแยกได้ดังนี้

พันธุ์ปลาราคาปกติ (บาท/กก.)ราคา 29 ก.ค. 68 (บาท/กก.)
ปลาค้าว300300
ปลาแค้320250
ปลากาดำ200180
ปลากด200200
ปลาโจก200250
ราคาเฉลี่ยปลา244236

เมื่อพิจารณาจากข้อมูลรายได้ของชาวประมงในช่วงฤดูปลาขึ้น พบว่า ชาวประมง 1 คนมีรายได้เฉลี่ย 2,806 บาทต่อวัน และเมื่อรวมกับจำนวนชาวประมงทั้งหมด 105 คน จะคิดเป็นมูลค่าภาคประมง 294,630 บาท/วัน

(fp x fk) x T x D = มูลค่าความเสียหายภาคประมง

fp = ราคาเฉลี่ยปลา fk = ปริมาณที่จับได้เฉลี่ยต่อวัน

T = จำนวนชาวประมงทั้งหมด D = จำนวนวันที่ออกจับปลาต่อปี (51 ว้น)

(244 x 11.5) x 105 x 51 = 15,026,130 บาท

ทั้งนี้เมื่อตั้งข้อสันนิฐานว่า หากแม่น้ำกกเป็นพิษในระดับที่ชาวประมงไม่สามารถประกอบอาชีพได้เลยเป็นระยะเวลา 1 ปี มูลค่าความเสียหายจะมากถึง 15,026,130 บาท/ปี 

1,300 ล้านต่อปี สังเวยพิษแรร์เอิร์ธจากรัฐฉาน

จากการรวบรวมและคำนวณข้อมูลทั้งหมด หากแยกมูลค่าความเสียหายแบ่งออกตาม 3 กลุ่มอาชีพหลักริมแม่น้ำกก จะพบว่าแต่ละกลุ่มมีมูลค่าความเสียหายต่อปี ดังนี้

1.ภาคการท่องเที่ยว มีมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 773,530,143 บาท/ปี

2.ภาคการเกษตร มีมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 511,450,458 บาท/ปี

3.ภาคประมง มีมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้น 15,026,130 บาท/ปี

เมื่อนำมูลค่าความเสียหายของทั้งสามภาคส่วนมารวมกัน สามารถสรุปได้ว่า หากแม่น้ำกกเป็นพิษในระดับไม่สามารถดำเนินกิจกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำกกได้เลย เพียงแค่ปีเดียว วิกฤตในครั้งนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 1,300,006,731 บาท/ปี

อย่างไรก็ตาม มูลค่าความเสียหายที่แท้จริงอาจมีมูลค่าสูงกว่า เนื่องจากการประเมินครั้งนี้เป็นเพียงการคำนวณเบื้องต้น โดยอาศัยข้อมูลที่เป็นสาธารณะและเปิดเผยจากรัฐ และกำหนดกลุ่มอาชีพเพียง 3 กลุ่ม รวมถึงกำหนดกรอบระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น ขณะที่กรณีศึกษาจากมณฑลเจียงซี ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธทางตอนใต้ของจีน กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน (Ministry of Industry and Information Technology) ระบุว่า อาจต้องใช้เวลากว่า 100 ปี เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างสมบูรณ์

แม้ตัวเลขเหล่านี้เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น และเป็นเพียงการคาดการณ์จากข้อมูลที่จำกัด แต่ก็เพียงพอจะตั้งคำถามต่อไปว่า ในภาวะที่ความเสี่ยงจากวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ภาครัฐมีความพร้อมเพียงใดในการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างตรงไปตรงมาต่อประชาชน และภาครัฐมีมาตรการรับมือกับวิกฤตเหล่านี้อย่างจริงจังหรือไม่ ก่อนที่ตัวเลขเหล่านี้จะกลายเป็นมูลค่าที่ไม่อาจหวนคืนมาได้

อ่าน [ชุดข้อมูล] 1.3 พันล้าน เปิดมูลค่าความเสียหาย ท่องเที่ยว-เกษตร-ประมง ริมน้ำกก เซ่นสารพิษเหมืองแร่รัฐฉาน ท่องเที่ยวหนักสุด 773 ล้าน https://www.lannernews.com/07082568-03/

ที่มา

วีรภัทร เหลาเกิ้มหุ่ง

อดีตนักศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง ผู้ชื่นชอบในการเดินป่า ปรัชญาและดนตรีสากล พบเจอได้ตามร้านขายเครื่องดื่ม ทุกเทศกาลและวันหยุดนักขัตฤกษ์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง